ท่านคอลิด อิบนุ วะลีด
ท่านคอลิด บิน อัล-วะลีด บิน อัล-มุฆีเราะฮ์ อัล-กุเราะชีย์ อัล-มัคซูมีย์ อัล-มักกีย์ เข้ารับอิสลามในปีฮิจญ์เราะฮ์ที่ 8 และเข้าร่วม
สงความกับกองทัพมุสลิมอีกหลายครั้ง
ท่านยังเป็นผู้นำกองทัพมุสลิมในสงครามอัล-ญะมามะฮ์และสงครามยัรมูก และท่านพร้อมกับทหารของท่านเดินทางผ่านทะเลทรายตั้งแต่พรมแดนอิรักไปจนสุดแคว้นชามในเวลาเพียงห้าคืน และนี่เป็นหนึ่งในความประหลาดของแม่ทัพผู้นี้ ท่านนะบีมูฮัมหมัด ﷺ ได้ให้สมญานามท่านว่า ซัยฟุลเลาะฮ์ คือ ดาบของอัลเลาะฮ์ที่ถูกชักออกมาจากฝัก
ท่านนะบีมูฮัมหมัด ﷺ บอกว่า เขาเป็นดาบของอัลเลาะฮ์ ที่อัลเลาะฮ์นำมาเพื่อปราบบรรดามุชริกีนและมุนาฟิกีน
(อิมาม อะห์หมัด : 1/8)
ท่านคอลิดเป็นลูกของพี่สาวของท่านหญิงมัยมูนะฮ์ บินติ อัล-หาริษ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา (ภรรยาของท่านนะบี ) เขาเป็นชายร่างใหญ่ ไหล่กว้าง แข็งแรงบึกบึน คล้ายกับ ท่านอุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ มากที่สุด
เศาะหาบะฮ์ท่านนี้มีเหตุการณ์สำคัญๆมากมาย ที่แสดงถึงความกล้าหาญของท่านและการทุ่มเทให้ความช่วยเหลือศาสนาอิสลามของท่าน เช่น สงครามมุอ์ตะฮ์ ซึ่งเกิดขึ้นในปีฮิจญ์เราะฮ์ที่ 8 คือปีเดียวกันกับ
ท่านคอลิดเข้ารับอิสลาม ทหารมุสลิมมีจำนวนสามพันคน ในขณะที่ทหารโรมันมีจำนวนถึงสองแสนคน เนื่องจากจำนวนไม่เหมาะสมกัน ทำให้เห็นถึงความเป็นผู้นำรบที่ยิ่งใหญ่ของมุสลิม
ท่านนะบีมูฮัมหมัด ﷺ ได้แต่งตั้งผู้นำทัพให้แก่ ซัยด์ บิน หาริษะฮ์ หากเขาถูกฆ่า ก็ให้ท่านยะอ์ฟัร บิน อบีฏอลิบ
นำแทน และหากยะอ์ฟัรตายก็ให้อับดุลเลาะฮ์ บิน เราะวาหะฮ์
นำทัพต่อ สุดท้ายทั้งหมดก็ตายชะฮีด หลังจากนั้นท่านษาบิต บิน อัรก็อม
ได้คว้าธงรบชูไว้ แล้วถามบรรดาทหารมุสลิมว่า พวกท่านจงแต่งตั้งผู้นำทัพของเราหนึ่งคน พวกเขาก็เลือกท่านคอลิด บินอัล-วะลีด
ตรงนี้เองความกล้าหาญยิ่งของท่านคอลิด
และความฉลาดยิ่งของท่านจึงปรากฏชัดขึ้น ท่านได้เริ่มจัดขบวนทหารใหม่โดยให้ทหารที่รบด้านขวาย้ายไปด้านซ้าย และให้ทหารบางส่วนมาอยู่แนวหลัง แล้วแสดงให้ดูเสมือนว่ามีกองหนุนเพิ่มมา เพื่อทำลายขวัญของศัตรู แล้วให้มุสลิมบุก เพื่อให้โรมันถอยและเสียขวัญ ตัวท่านเองก็ได้แสดงความกล้าหาญหลายอย่าง จนหลายๆคนไม่อาจเลียนแบบได้ และด้วยความฉลาดของท่าน ท่านได้ใช้วิธีการที่แยบยลในการถอยทัพอย่างเป็นระบบ และจบการสู้รบเพียงเท่านั้นเพราะท่านเห็นว่าไม่ควรสู้ต่อไป เพราะความไม่เท่ากันของจำนวนทหาร แม้จะเป็นการถอยทัพแต่ท่านนะบี ﷺ เรียกการถอยทัพครั้งนี้ว่าคือชัยชนะ ท่านได้กล่าวขณะที่ท่านสดุดีเกียรติของแม่ทัพทั้งสามที่ตายไปว่า :
“ แล้วธงรบก็ถูกถือโดยดาบหนึ่งจากบรรดาดาบของอัลลอฮ์ จนกระทั่งอัลลอฮ์ได้ให้ชัยชนะ ”
(อัล-บุคอรีย์ 3/33 : 3757)
ท่านคอลิด ยังได้ร่วมในสงความปราบปรามกลุ่มพวกมุรตัด สงครามพิชิตอิรัก
และบรรดานักประวัติศาสตร์มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่อง สาเหตุที่ท่านถูกปลดจากการเป็นแม่ทัพ ในการเปิดประเทศชาม มีรายงานจากท่านอุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ กล่าวว่า :
“ ไม่เลย อย่างไรเสีย ฉันก็จะปลดคอลิดอย่างแน่นอน เพื่อที่ผู้คนจะได้รู้ว่า แท้จริง อัลเลาะฮ์สามารถที่จะช่วยเหลือศาสนาของพระองค์ให้ได้รับชัยชนะ แม้จะเป็นคนอื่นนำทัพแทนคอลิดก็ตาม ”
และในขณะที่ท่านคอลิดเสียชีวิตนั้น ท่านไม่ได้ทิ้งสมบัติใดนอกจาก ม้ารบหนึ่งตัว ดาบหนึ่งเล่มและทาสหนึ่งนาย ซึ่งท่านได้บริจาคให้เป็นทรัพย์สินในหนทางของอัลเลาะฮ์ เมื่อข่าวนี้ไปถึงยังท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ ท่านอุมัรฺได้กล่าวว่า :
“ขออัลเลาะฮ์เมตตาอบูสุลัยมาน(คอลิด)เขาเป็นดั่งที่เราคิดไว้จริงๆ”
และในหะดีษของท่านอุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบในเรื่องซะกาต ท่านนบี ﷺ ได้กล่าวว่า :
“ ส่วนคอลิดนั้น เขาได้มอบเสื้อเกราะและอาวุธต่างๆ ของเขาไว้เพื่อหนทางของอัลเลาะฮ์ ”
(อัล-บุคอรีย์ 1/447 หะดีษมุอัลลัก ในเรื่องสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับซะกาต)
ท่านคอลิดได้เสียชีวิตในปีที่ 21 ฮิจญ์เราะฮฺที่เมือง หิมศ์ (ฮอมส์) โดยมีอายุ 58 ปี
.
ท่านอบู อัซ-ซินาด ได้กล่าวว่า :
“เมื่อใกล้สิ้นใจ ท่านคอลิดได้ร้องไห้ และรำพันว่า “แท้จริงฉันได้ร่วมในสงครามนั้นสงครามนี้มากมาย และบนร่างกายฉันนี้ ไม่มีที่ว่างแม้คืบเดียวนอกจากจะมีรอยบาดแผลจากคมดาบ ธนูและหอก แล้วนี่ฉันต้องตายอยู่บนเตียงนอนเหมือนเช่นอูฐตายกระนั้นหรือ ตาของผู้ที่ขี้คลาดคงไม่หลับสนิทหรอก” แท้จริงท่านคอลิดหวังที่จะตายชะฮีดในสนามรบ และเราหวังจากอัลลอฮฺว่าพระองค์จะให้ท่านจะได้รับผลบุญการตายชะฮีดดังที่หวัง”
เพราะมีรายงานจากท่านสะฮ์ลฺ บิน อบี อุมามะฮฺ บิน สะฮ์ลฺ บิน หะนีฟ จากปู่ของท่านว่า ท่านนบี ได้กล่าวว่า
“ผู้ใดที่ขอดุอาอ์จากอัลลอฮฺ ให้ได้รับการตายชะฮีดด้วยใจจริง อัลลอฮฺจะให้เขาได้บรรลุถึงระดับผู้ตายชะฮีด แม้เขาจะนอนตายอยู่บนที่นอนก็ตาม”
(มุสลิม 3/1517 : 1909)