อัศฮาบุ้ลอุคดู้ด

อัศฮาบุ้ลอุคดู้ด

ตอนที่ 1 (เด็กหนุ่มกับนักมายากลและนักบวช)

นาน มาแล้ว… มีกษัตริย์องค์หนึ่ง  เขามีนักไสยศาสตร์ส่วนตัว  หลังจากที่เขาได้ชราภาพลง เขาจึงกล่าวแก่กษัตริย์พระองค์นั้นว่า

“ข้าอายุมากแล้ว ขอพระองค์ทรงส่งมอบเด็กหนุ่มให้แก่ข้าสักคนหนึ่ง เพื่อที่ข้าจะได้สอนวิชาไสยศาสตร์ให้ กษัตริย์จึงได้ ส่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งไป (ร่ำเรียนวิชาไสยศาสตร์) ดังนั้นนักไสยศาสตร์ผู้แก่ชราคนนั้นจึงได้เริ่มงสอนวิชาไสยศาสตร์ต่างๆให้แก่เด็กหนุ่ม

ในระหว่างทางไปเรียน เด็กหนุ่มเจอนักบวชคนหนึ่ง  ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเดินผ่านหน้าบ้านนักบวช เด็กหนุ่มก็จะแวะนั่งฟังคำเทศนาของนักบวชท่านนั้น และติดใจและเคลิ้มในเส้นทางและคำพูดของเขา จนทำให้เด็กหนุ่มเดินทางไปหานักไสยศาสตร์สาย  เขาก็จะถูกนักไสยศาสตร์เฆี่ยนตี และถามเขาว่า “สิ่งใดได้กักตัวเจ้าไว้ (ทำไมเจ้าถึงได้มาสาย)?” (พอเด็กหนุ่มเดินทางกลับบ้าน เด็กหนุ่มก็จะแวะนั่งฟังคำเทศนาของนักบวชจนเพลินอีก) พอเด็กหนุ่มกลับไปถึงบ้าน ครอบครัวที่บ้านก็จะเฆี่ยนตีเขาอีก และจะถามเขาว่า “สิ่งใดได้กักตัวเจ้าไว้ (ทำไมเจ้าถึงได้กลับมาถึงบ้านสาย)?”

(วันต่อมา) เด็กหนุ่มคนนั้นจึงได้เล่าเรื่องที่เขาถูกเฆี่ยนให้แก่นักบวชฟัง นักบวชจึงสอน (วิธีหลีกเลี่ยงจากการถูกเฆี่ยนตีว่า) “เมื่อนักมายากลจะเฆี่ยนตีเจ้า เจ้าก็จงตอบเขาไปว่า “ครอบครัวของผมได้กักตัวผมไว้” และเมื่อครอบครัวของเจ้าจะเฆี่ยนตีเจ้า เจ้าก็จงตอบพวกเขาไปว่า “ นักไสยศาสตร์ได้กักตัวผมไว้”

ตอนที่ 2 (เด็กหนุ่มกับสัตว์ร้าย)

เด็กหนุ่มได้ปฏิบัติเช่นนั้นอย่างต่อเนื่อง (ไปนั่งเรียนกับนักบวชก่อนแล้วค่อยไปเรียนกับนักไสยศาสตร์ พอขากลับก็จะแวะนั่งเรียนกับนักบวชต่อ ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้าน) จนอยู่มาวันหนึ่ง เขาได้ไปเผชิญหน้ากับสัตว์ใหญ่ที่น่ากลัวตัวหนึ่ง  ซึ่งมันได้ขวางเส้นทางสัญจรไปมาของประชาชนจนพวกเขาไม่สามารถเดินผ่านได้ เพื่อเป็นการทดลองวิชาที่ได้เรียนรู้มาจากอาจารย์ทั้งสอง

เด็กหนุ่ม (กล่าวในใจว่า) “วันนี้ฉันจะได้รู้ว่าระหว่าง วิชา ของนักบวชกับวิชา ของนักไสยศาสตร์ อันไหนเป็นสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงพึงพอใจมากกว่ากัน” ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงได้หยิบก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมาพลันกล่าว (พึมพำว่า) : “โอ้พระผู้อภิบาลของข้า ถ้าหากว่ากิจการของนักบวชเป็นที่พึงพอใจแก่พระองค์ และเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงยินดีมากกว่ากิจการของนักมายากล ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดสังหารสัตว์ร้ายตัวนี้ (ด้วยก้อนหินที่อยู่ในมือฉันก้อนนี้) เพื่อให้ประชาชนได้เดินผ่านไปมาตามเส้นทางนี้” แล้วเด็กหนุ่มก็ขว้างหิน ก้อนนั้นไปยังสัตว์ร้ายตัวนั้น ทันใดนั้นสัตว์ร้ายตัวนั้นก็เสียชีวิตทันที ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางผ่านไปมาได้สะดวกเหมือนเดิม

ดังนั้น เด็กหนุ่มได้เดินทางไปหานักบวชและ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นักบวชฟัง
นัก บวชกล่าว : “หนุ่มน้อย (วันนี้) เจ้าได้เป็นคนที่ประเสริฐกว่าฉันแล้ว และการกระทำของเจ้าในวันนี้ จะทำให้เจ้าต้องถูกทดสอบ ในวันใดก็วันหนึ่ง ดังนั้นเมื่อใดที่เจ้าถูกทดสอบ เจ้าก็จงอย่าได้พาดพิงมายังฉัน”

ตอนที่ 3 (เด็กหนุ่มกับปุโรหิตผู้ตาบอด)

ต่อมา เด็กหนุ่มได้ ใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาจากนักบวช ทำการรักษาคนตาบอดจนหายขาด (และสามารถมองเห็นได้ตามปกติ) และรักษาคนที่เป็นโรคต่างๆจนหายขาด ทำให้เรื่องราวความเก่งกล้าของเขาถูกกล่าวขานและร่ำลือไปถึงในพระราชวัง

ภาย ในพระราชวัง มีผู้ใกล้ชิดกษัตริย์คนหนึ่ง (ปุโรหิตหรือที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของกษัตริย์) ซึ่งเป็นคนตาบอด เมื่อเขาได้ยินข่าว  เขาจึงเดินทางไปหาเด็กหนุ่มพร้อมกับของกำนัลที่มากมาย
ปุโรหิต  : “จงทำให้ข้าหาย (จากตาบอด) ด้วย แล้วเจ้าจะได้รับทรัพย์สินที่มีอยู่ (ต่อหน้าเจ้า) นี้ทั้งหมด”
เด็ก หนุ่ม : “ผมไม่สามารถทำให้ผู้ใดหายจากโรคร้ายได้หรอก แต่ผู้ที่ทำให้พวกเขาหายขาดจากโรคร้ายคืออัลลอฮฺผู้ทรงประเสริฐและสูงส่ง ต่างหาก ถ้าหากว่าท่านศรัทธาต่อพระองค์ ผมก็จะวิงวอนขอให้พระองค์ทรงบันดาลให้ท่านหายขาดจากโรคตาบอด”

ดังนั้น ปุโรหิตจึง ละทิ้งศาสนาเดิมและศรัทธาต่ออัลเลาะฮ์ เด็กหนุ่มจึงได้ (ยกมือ) วิงวอนขอดุอาอ์ต่ออัลเลาะฮ์ขอให้พระองค์ทรงทำให้เขาหายขาดจากโรคตาบอด ฉับพลันปุโรหิตคนนั้นก็หายจากโรคตาบอด (และมองเห็นเหมือนคนปกติ)
หลังจากนั้นปุโรหิตจึง (เดินทางกลับไปยังพระราชวังและ) ไปนั่งลงใกล้ๆกับกษัตริย์เหมือนกับที่เขาเคยกระทำเป็นประจำ
กษัตริย์ ถามเขา (ด้วยความอัศจรรย์ใจ)ว่า “นี่ ท่านปุโรหิต ผู้ใดหรือที่ทำให้ตาของเจ้าได้กลับมองเห็นเหมือนเดิม”
ปุโรหิต ตอบ (ด้วยความปีติเป็นอย่างยิ่ง) ว่า : “พระผู้อภิบาลของข้าน้อย”
กษัตริย์ : เจ้ามีพระเจ้าอื่นนอกจากข้าอีกหรือ
ปุโรหิต (ตอบโดยไม่ลังเลใจ) : “ขอรับ พระผู้อภิบาลของข้าน้อยและของพระองค์คืออัลเลาะฮ์”
(กษัตริย์รู้สึกกริ้วและเสียหน้าเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงสั่งทหารให้จับตัวปุโรหิตและนำไปทรมานและข่มขู่เพื่อบีบคั้นหาความจริง)
ปุโรหิต ถูกทรมาน ต่างๆนานา เพื่อบีบคั้นให้เขาเลิกศรัทธาต่ออัลเาะฮ์และกลับไปเป็นเหมือนเดิม  การทรมานเหล่านั้น ก็ไม่สามารถทำให้ปุโรหิตเปลี่ยนแปลงจากการศรัทธาของเขาที่มีต่ออัลลอฮฺได้ จนในที่สุดเขา (เขาก็ไม่สามารถทนต่อการทรมานที่หนักหน่วงได้อีก ดังนั้น) เขาจึงได้ชี้ไปยังเด็กหนุ่ม (ว่าเป็นผู้ที่รักษาเขาให้หายขาดและสอนเขาว่า พระผู้อภิบาลที่แท้จริงคืออัลเลาะฮ์)

ตอนที่ 4 (แลกศรัทธาด้วยชีวิต)

(หลังจากที่ปุโรหิตผู้ซึ่งถูกทรมานเพื่อบีบเค้นให้เขาบอกถึงที่มาของความเชื่อจนทนไม่ไหว และได้บอกกษัตริย์ว่ามาจากเด็กหนุ่ม)
กษัตริย์จึงส่งทหารไปพาตัวเด็กหนุ่มมา
กษัตริย์ : “หนุ่มน้อย มายากลของเจ้า (เข้มแข็ง) จนสามารถรักษาคนตาบอดและคนเป็นโรคเรื้อนและโรคต่างๆเหล่านี้จนหายขาดแล้ว หรือ ?”
เด็กหนุ่ม “ข้าน้อยมิได้ทำให้ผู้ใดหายจากโรคร้ายแม้แต่คนเดียว นอกจากอัลลอฮฺผู้ทรงเกรียงไกรและสูงส่ง (ที่ทรงบันดาลให้พวกเขาหายขาดจากโรคร้าย)”
กษัตริย์ : “ตัวข้าหรือ?”
เด็กหนุ่ม : “หามิได้?”
กษัตริย์ : “เจ้ายังมีพระผู้อภิบาลอื่นจากข้าอีกหรือ?”
เด็กหนุ่ม : “ขอรับ พระผู้อภิบาลของข้าน้อยและของพระองค์คืออัลเลาะฮ์”
ดั้ง นั้นกษัตริย์จึง (สั่งให้ทหาร)นำตัวเด็กหนุ่มไปทรมาน (เหมือนกับที่ได้ทรมานปุโรหิตก่อนหน้านี้) จนกระทั่งเด็กหนุ่มยอมพาดพิงถึงนักบวช (ผู้เป็นอาจารย์)
ดังนั้นกษัตริย์จึง (สั่งให้ทหาร) นำตัวนักบวชมาพบ
กษัตริย์ : (ข่มขู่นักบวช) “เจ้าจงกลับคืนสู่ศาสนาเดิมของเจ้าเสีย”
นักบวชปฏิเสธ
ดังนั้นกษัตริย์จึง (สั่งให้ทหาร) เอาเลื่อยไปเลื่อยผ่าตรงกลางหัวของนักบวชจนขาดสองท่อน (นักบวชเสียชีวิต)
แล้วกษัตริย์หันมากล่าว (ขุ่มขู่) ปุโรหิต “เจ้าจงกลับคืนสู่ศาสนาเดิมของเจ้าเสีย”
ปุโรหิตปฏิเสธ
ดังนั้นกษัตริย์จึง (สั่งให้ทหาร) เอาเลื่อยไปเลื่อยผ่าตรงกลางหัวของปุโรหิตจนขาดสองท่อนและตกลงบนพื้น (ปุโรหิตเสียชีวิตอีกคน)

ตอนที่ 5 (ระหว่างสัจธรรมกับความจอมปลอม)

กษัตริย์ (หันมาข่มขู่) เด็กหนุ่ม “เจ้าจงกลับคืนสู่ศาสนาเดิมของเจ้าเสีย”
เด็กหนุ่มปฏิเสธ
ดัง นั้นกษัตริย์ (โกรธมากและสั่ง) ทหารจำนวนหนึ่ง “จงพาเจ้าหนุ่มคนนี้ขึ้นไปยังยอดเขานั้น พอถึงยอดเขาแล้ว จงถามเขา (อีกครั้งว่าจะยอมกลับสู่ศาสนาเดิมของเขาไหม) ถ้าเขายอมกลับคืนสู่ศาสนาเดิมของเขา (ก็จงพาเขาลงมาจากยอดเขา) แต่ถ้าเขาไม่ยอมก็จงกลิ้ง (โยน) เขาลงมาจากยอดเขาเสีย”
ทหารจึง (จับมัดเด็กหนุ่มและ) พาเขาไปยังยอดเขาดังกล่าว พอพวกเขาขึ้นไปถึงยอดเขา
เด็ก หนุ่ม (ดุอาต่ออัลลอฮฺ) “อัลลอฮุมมักฟินีฮิม บิมาชิอ์ตะ” (โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดปกป้องข้าน้อยจากความชั่วร้ายของพวกเขาตามที่พระองค์ทรงประสงค์)
ฉับ พลัน ภูเขาก็สั่นสะเทือนและเขย่าพวกเขาทั้งหมดจนกลิ้งตกลงมาจากยอดเขา (เหลือเพียงเด็กหนุ่มผู้มั่นในศรัทธาคนเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิต)
ดังนั้น เด็กหนุ่มพยายามหาทางกลับจนกระทั่งได้เดินเข้าไปหากษัตริย์อีกครั้ง
กษัตริย์ (ทั้งตกใจและประหลาดใจ) “บรรดาสหายของเจ้า (หมายถึงทหารที่พระองค์สั่งให้เดินทางไปกับเด็กหนุ่ม) ไปทำอะไรมา?”
เด็ก หนุ่ม (ด้วยความกล้าและเปี่ยมศรัทธา) “อัลลอฮฺผู้ทรงเกรียงไกรและสูงส่งได้ทรงปกป้องข้าน้อยจากพวกเขาแล้ว” (พวกเขาเสียชีวิตหมดแล้ว)
กษัตริย์ (เคืองจนไม่รู้จะทำอย่างไร) จึงได้สั่งทหานอีกจำนวนวหนึ่ง “พวกเจ้าจงพาเจ้าหนุ่มคนนี้ไปยังขึ่นเรือ พอพวกเจ้าพาเขาไปถึงยังกลางทะพวกเจ้าจงถามเขา (อีกครั้งว่าจะยอมกลับสู่ศาสนาเดิมของเขาไหม) ถ้าเขายอมกลับคืนสู่ศาสนาเดิมของเขา (ก็จงพาเขากลับไปขึ้นฝั่ง) แต่ถ้าเขาไม่ยอมก็จงโยนเขาลงทะเลเสีย”
ทหารจึง (จับเด็กหนุ่มมัดไว้และ) พาเขาขึ้นเรือไปยังกลางทะเล
เด็ก หนุ่ม (ดุอาต่ออัลลอฮฺ) “อัลลอฮุมมักฟินีฮิม บิมาชิอ์ตะ” (โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดปกป้องข้าน้อยจากความชั่วร้ายของพวกเขาตามที่พระองค์ทรงประสงค์)
ฉับ พลัน (เรือก็เกิดพลิกคว่ำและอับปางกลางทะเล) พวกทหารทั้งหมดจึงจมน้ำตาย (เหลือเพียงเด็กหนุ่มผู้มั่นในศรัทธาคนเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิต)
ดังนั้น เด็กหนุ่มพยายามหาทางกลับจนกระทั่งได้เดินเข้าไปหากษัตริย์อีกครั้ง
กษัตริย์ (ท้อแท้และสิ้นหวัง) “บรรดาสหายของเจ้า (หมายถึงทหารที่พระองค์สั่งให้เดินทางไปกับเด็กหนุ่ม) ไปทำอะไรมา?”
เด็กหนุ่ม (ด้วยความสงบใจและมั่นคง) “อัลลอฮฺผู้ทรงเกรียงไกรและสูงส่งได้ทรงปกป้องข้าน้อยจากพวกเขาแล้ว” (พวกเขาเสียชีวิตหมดแล้ว)

ตอนที่ 6 (สละชีพเพื่อสัจธรรม)

หลัง จากนั้นเด็กหนุ่มก็กล่าวแก่กษัตริย์ (ด้วยความศรัทธามั่นในความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ) “พระองค์ไม่สามารถสังหารข้าน้อยได้หรอก จนกว่าพระองค์จะปฏิบัติตามที่ข้าน้อยสั่งให้พระองค์ทำ ถ้าหากพระองค์ปฏิบัติตามที่ข้าน้อยสั่ง พระองค์จะสามารถสังหารข้าน้อยอย่างแน่นอน หากไม่แล้ว พระองค์จะไม่มีทางสังหารข้าน้อยได้”
กษัตริย์ (ด้วยความสิ้นหวังและหมดหนทาง) ” (บอกมา) ต้องทำยังงัย”?
เด็ก หนุ่ม (จึงออกอุบายเพื่อให้ประชาชนได้ประจักษ์ถึงสัจธรรมที่แท้จริง โดยยอมแลกชีวิตตนเองเป็นเดิมพัน) “พระองค์จงรวบรวมอาณาประชาราษฎร์ ณ ลานกว้างแห่งหนึ่ง แล้วพระองค์ก็จับข้าน้อยมัดตรึงไว้กับไม้ แล้วพระองค์จงหยิบเอาลูกศรจากกระบอกใส่ลูกศรของข้าน้อยมาดอกหนึ่ง แล้วพระองค์จง (นำมันมาง้างไว้บนคันธณูพร้อมยิงแล้ว) กล่าว (ด้วยความจริงใจ) ว่า “บิสมิลลาฮฺ ร็อบบิลฆุลาม” (ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลของเด็กหนุ่มคนนี้) (แล้วก็ปล่อยศรออกมายังหน้าอกของข้าน้อย) เมื่อพระองค์ปฏิบัติตามที่ข้าน้อยได้บอกไว้ พระองค์ก็จะสามารถสังหารข้าน้อยให้ตายไปทันที”
(เห็นดังนั้น กษัตริย์รีบบัญชาให้กองทหารไประดมเรียกประชาราษฎร์มารวมกัน ณ ลานกว้างหน้าท้องพระโรง แล้วก็สั่งให้นำตัวเด็กหนุ่มไปมัดตรึงไว้กับไม้) แล้วกษัตริย์ก็ปฏิบัติ (ตามคำแนะนำของเด็หนุ่ม) ด้วยการนำศรมาวางไว้บนใจกลางของคันธณู แล้วปล่อยศรออกไปพร้อมกับกล่าวว่า “บิสมิลลาฮฺ ร้อบบิลฆุลาม” (ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลของเด็กหนุ่มคนนี้) ทันใดนั้น ลูกศรก็วิ่งไปปักที่ขมับของเด็กหนุ่ม แล้วเขาก็เอามือไปจับที่บาดแผลที่ลูกศรปักไว้ แล้วก็เสียชีวิตลง

ตอนที่ 7 (หลุมไฟและคำตักเตือนของทารกน้อย – ตอนจบ)

ครั้น เมื่อได้ประจักษ์แก่สายตาเช่นนั้น) ประชาชนที่มาชุมนุมกันจึงกล่าว (เป็นเสียงเดียวกัน) ว่า “พวกเราศรัทธาต่อพระผู้อภิบาลของเด็กหนุ่ม (พวกเราศรัทธาต่อพระผู้อภิบาลของเด็กหนุ่ม)”
ทหารคนสนิทจึงกล่าว (ตักเตือน) กษัตริย์ (ด้วยท่าทีที่ผิดหวัง) “พระองค์เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงกำชับให้ระวังก่อนหน้านี้หรือยัง    แท้จริง – ข้าขอสาบานต่ออัลลอฮฺ – ความหายนะได้มาหาท่านแล้ว ประชาชนทุกคนต่างยอมรับและศรัทธา (ต่อพระผู้อภิบาลของเด็กหนุ่ม!)

กษัตริย์ (สงวนท่าทีไว้) “(พวกเจ้า) จงไปหาปากบ่อเก่าๆที่ชำรุด แล้วจงขุดมันให้เป็นหลุมใหญ่ เสร็จแล้วพวกเจ้าจงติดไฟให้ลุกโชน”
กษัตริย์ (หลังจากที่ทหารได้จัดการขุดหลุมใหญ่แล้วก่อไฟจลลุกไหม้อย่างน่ากลัวแล้ว) “ผู้ใดที่ยอมกลับตัวจากศาสนาที่นับถืออยู่ ก็จงปล่อยเขาไป ถ้าไม่ยอมกลับตัวก็จงโยนลงไป (ในเปลวเพลิงซะ)”
กองทหาร (ไปยืนเรียงรายอยู่ตามแนวของปากหลุมไฟ แล้ว) นำบรรดาผู้ศรัทธาไปจ่อไว้กับหลุมเพลิง (พร้อมยื่นข้อเสนอให้พวกเขากลับตัวจากศาสนาเด็กหนุ่มไปนับถือบูชากษัตริย์ เช่นเดิม ถ้าผู้ใดไม่ยอมกลับตัว) พวกเขาก็ถูกจะผลักลงไปในกองเพลิง (ที่กำลังลุกโชนนั้น)

(บนริมปากหลุมที่กองเพลิงกำลังลุกโชนอยู่นั้น) มีสตรีผู้ศรัทธานางหนึ่งที่กำลังสวมกอดทารกน้อยของนางที่ยังไม่หย่านม ดูเหมือนว่า (สองจิตสองใจและ) ถอยร่นออกไปด้านหลัง (และยื้อแย่งกับทหาร) ไม่ยอมให้ทหารจับตัวนางและลูกน้อยโยนลงไปในหลุมเพลิง (ที่กำลังลุกไหม้อย่างโชติช่วง เพราะความรักและเอ็นดูที่มีต่อลูก)
ทารกน้อย “โอ้แม่จ๋า…แม่จงอดทนเถิด แท้จริงแม่กำลังอยู่บนสัจธรรม”
(หลัง จากนั้นทั้งแม่ทั้งลูกจึงถูกจับโยนลงไปในเปลวเพลิงที่กำลังโฉบเฉี่ยวอย่าง บ้าคลั่งเป็นคนสุดท้าย สักครู่เหตุการณ์ทุกอย่างก็เงียบสงบ)

(อิมามมุสลิม 3005)

Leave a Reply