การพิชิตมักกะฮ์

การพิชิตนครมักกะฮ์

              หลังจากที่มีการทำสนธิสัญญาประนีประนอม ณ ฮุดัยบียะฮ์ ผ่านไป 18  เดือน  ชาวกุเรชได้ละเมิดข้อตกลง โดยการอนุญาตให้มีการทำสงครามระหว่างเผ่าบนีบักร์และเผ่าคุซาอะห์ในเขตมักกะฮ์ และยังสนับสนุนอาวุธให้แก่เผ่าบนีบักร์ แม้พวกเขาจะรู้สึกเสียใจต่อการกระทำดังกล่าว และเข้าใจว่าท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ อาจยังไม่ทราบเรื่อง จึงส่งอบูซุฟยานไปหาท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ เพื่อรักษาข้อตกลงสนธิสัญญา แต่ความพยายามนั้นไม่เป็นผล อบูซุฟยานจึงต้องกลับไปยังนครมักกะฮ์ด้วยความผิดหวัง

.

ท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ จึงสั่งให้บรรดาซอฮาบะฮ์เตรียมความพร้อมออกเดินทาง โดยไม่เปิดเผยจุดหมายปลายทาง เพื่อให้ภารกิจครั้งนี้เป็นไปอย่างลับที่สุด และไม่ให้ข่าวรั่วไหลไปถึงชาวมักกะฮ์ จนกระทั่งถึงเวลาที่เหมาะสม ท่านจึงแจ้งควาประสงค์ต่อบรรดาซอฮาบะฮ์ว่า จุดหมายปลายทางคือ นครมักกะฮ์ และเป็นการเดินทางเพื่อยุติการละเมิดของกุเรช โดยมุ่งหวังให้ฝ่ายตรงข้ามยอมจำนนโดยไม่ต้องมีการต่อสู้

.

วันที่ 10 เดือนรอมฎอน ปีฮิจญ์เราะห์ที่ 8 บรรดามุสลิมจำนวน 10,000 คน ได้เคลื่อนทัพสู่มักกะฮ์ ระหว่างทาง ท่านนะบี ﷺ ได้พบกับท่านอับบาส บิน อับดุลมุฏฏอลิบ  ผู้เป็นลุงของท่าน ซึ่งกำลังเดินทางไปมะดีนะฮ์ ท่านอับบาส บิน อับดุลมุฏฏอลิบ  จึงขออนุญาตพาอบูซุฟยานมาพบท่านนะบีมุฮัมหมัด ﷺ

เมื่อพบกัน ท่านนะบี ﷺ  ได้กล่าวกับอบูซุฟยานว่า:

“โอ้ อบูซุฟยาน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ท่านจะยอมรับว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะฮ์?”

อบูซุฟยานตอบว่า :

“ท่านช่างมีจิตใจเมตตายิ่ง ท่านเป็นผู้รักษาไมตรีอย่างแท้จริง หากมีพระเจ้าอื่นนอกจากอัลเลาะฮ์ ฉันย่อมไม่ต้องการสิ่งใดอีก”

ท่านนะบีจึงถามต่อว่า :

“ แล้วยังไม่ถึงเวลาหรือ ที่ท่านจะยอมรับว่าฉันคือฑูตของอัลเลาะฮ์?

.

ในที่สุด อบูซุฟยานก็กล่าวชะฮาดะฮ์ และกลับไปยังนครมักกะฮ์ เขาได้เห็นกองทัพมุสลิมขณะที่เขาลาดตระเวนอยู่ จึงรีบรุดกลับเข้าเมืองเพื่อประกาศให้ชาวมักกะฮ์ยอมจำนน โดยห้ามมิให้มีการต่อต้านใดๆ บางคนปฏิบัติตามคำแนะนำ ขณะที่บางคนยังคงดื้อรั้น สุดท้ายผู้ที่ดื้อรั้นก็ถูกสังหารโดยท่านคอลิด บิน วะลีด

.

เมื่อท่านนะบี ﷺ เดินทางถึงนครมักกะฮ์ ท่านได้สั่งกระจายกองกำลังไปตามจุดต่างๆ โดยมีคำสั่งไม่ให้สังหารผู้ใด นอกจากในกรณีที่ฝ่ายตรงข้ามโจมตีก่อน การพิชิตนครมักกะฮ์สำเร็จโดยแทบไม่มีการเสียเลือดเนื้อ

ท่านนะบี ﷺ ได้ประกาศว่า

“ผู้ใดอยู่ในบ้านของตน เขาจะปลอดภัย
ผู้ใดเข้าไปในบ้านของอบูซุฟยาน ก็จะปลอดภัย
ผู้ใดวางอาวุธลง เขาก็จะปลอดภัยเช่นกัน”

ท่านนะบี ﷺ เข้าสู่นครมักกะฮ์ด้วยความนอบน้อมต่อพระผู้เป็นเจ้า ท่านไม่ได้มาด้วยความแค้น ทั้งที่มุสลิมต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน การถูกขับไล่ ทารุณ และกดขี่จากชาวมักกะฮ์ทั้งก่อนและหลังการอพยพ

และกล่าวต่อหน้าชาวกุเรชที่มีความหวั่นกลัวและไม่มั่นใจในชะตากรรมของตนเองว่า :

“พวกท่านคิดว่าฉันจะทำอย่างไรกับพวกท่าน?”

พวกเขาตอบว่า :

“ท่านคือผู้มีเมตตา และเป็นลูกหลานของผู้มีเมตตา ท่านย่อมทำในสิ่งที่ดีงาม”

ท่านนะบี ﷺ  จึงกล่าวว่า :

“ในวันนี้ จะไม่มีการตำหนิต่อกันอีกแล้ว พวกท่านจงกลับไปเถิด ท่านทั้งหลายล้วนเป็นอิสระแล้ว”
.

แม้ท่านจะให้อภัยชาวมักกะฮ์ แต่สำหรับผู้ที่ละเมิดข้อตกลงซ้ำซาก และยังเยาะเย้ยศาสนาอิสลาม ท่านจึงมีคำสั่งให้ลงโทษบุคคลเหล่านั้น ชนเผ่าที่เข้ารับอิสลามแล้ว ได้แก่ เผ่ากุเรช ตะมีม เผ่าคุซาอะฮ์ ฮะวาซิน ชนเผ่าที่ยังไม่เป็นมุสลิมในทันที ได้แก่ เผ่าซะกีฟ ส่วนหนึ่งจากฮะวาซิน ญะดิละฮ์ จากนั้นท่านได้ทำลายรูปเคารพภายในมัสญิดฮะรอมและชำระสถานที่ให้บริสุทธิ์จากสิ่งบูชาอันเป็นเท็จ พร้อมส่งบรรดาซอฮาบะฮ์ไปยังชนเผ่าอื่น ๆ เพื่อทำลายรูปบูชาเช่นกัน

.

ผลของการพิชิตนครมักกะฮ์

การพิชิตนครมักกะฮ์นับเป็นจุดสิ้นสุดของการต่อต้านจากชาวกุเรช และเป็นการเปิดทางให้อิสลามเผยแผ่ได้โดยไม่มีอุปสรรค ชนเผ่าต่าง ๆ ที่เคยเฝ้าดูท่าที ก็ได้ทยอยเข้ารับอิสลามกันเป็นจำนวนมาก

ในวาระนี้ อัลเลาะฮ์  ได้ประทานอายะห์กุรอานลงมา ความว่า :

“ เมื่อความช่วยเหลือจากอัลเลาะฮ์ และชัยชนะมาถึงแล้ว
และเจ้า (มุฮัมมัด) ได้เห็นผู้คนเข้ารับศาสนาของอัลเลาะฮ์เป็นกลุ่ม ๆ
จงสดุดีพระเจ้าของเจ้าด้วยการสรรเสริญ และจงขออภัยโทษต่อพระองค์
แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยเสมอ ”

(อันนัศร์ 110 : 1-3)

Leave a Reply