สงครามคอนดัก

งครามคอนดัก

หลังจากที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้พยายามขับไล่ชาวยิวออกจากมะดีนะฮ์ บรรดาหัวหน้าเผ่าชาวยิวจากตระกูล อันนะฎี๊ร ได้ติดต่อกับชาวกุเรชและเผ่าต่างๆที่เป็นมุชริก และพยายามยุยงให้เผ่าต่างๆทำการสู้รบกับมุสลิม อีกทั้งชาวกุเรชต้องการที่จะจัดการกับมุสลิมอยู่แล้ว รวมถึงความต้องการในเส้นทางทางการค้าขาย พวกเขาจึงตกลงที่จะร่วมมือ พร้อมทั้งทำการเชิญชวนเผ่าต่างๆทางเมืองนัจด์ และติฮามะฮ์ทางตอนใต้ ในขณะเดียวกันพวกยิว ได้สร้างความจูงใจให้ เผ่าฆ็อตฟาน ซึ่งเป็นเผ่าใหญ่ของเมืองนัจด์ ด้วยการแบ่งปันผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งที่จะได้รับจากเมือง คอยบัร จึงทำให้นักรบที่ร่วมในสมรภูมินี้มีจำนวนถึง 10,000 คน

เมื่อบรรดามุสลิมได้ทราบข่าวการยกทัพมาของเผ่าต่างๆ ท่านซัลมาน อัล ฟาริซีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เสนอความคิดเรื่องการขุดสนามเพลาะทางด้านเหนือของเมืองมะดีนะฮ์ เพราะเป็นด้านเดียวที่เปิดโล่งอยู่ ในขณะที่ด้านอื่น ๆ นั้นเต็มไปด้วยกำบังทางธรรมชาติ ที่มีทั้งบ้านเรือนอย่างหนาแน่น และเรือกสวนต่างๆ ส่วนทางด้านอื่นมีแปลงหินภูเขาไฟ (หินสีดำไม่ราบเรียบเป็นร่องรอยของภูเขาไฟระเบิด) ซึ่งเป็นการยากลำบากในการที่จะลุยผ่านเข้ามาได้

       ท่านเราะซูล และบรรดามุสลิมเห็นด้วยกับความคิดของซัลมาน จึงได้เริ่มปฏิบัติการทันที ท่านเราะซูล ได้จัดมุสลิมีนออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 10 คน ให้ขุดสนามยาว 40 ศอก มุสลิมพบอุปสรรคมากมายในการขุดสนามเพลาะ ทั้งระยะเวลาที่สั้น อากาศที่หนาวเหน็บ เสบียงที่น้อยนิด พื้นดินที่แข็ง และเครื่องมือที่ใช้ไม่แข็งแรงพอ

       ด้วยเหตุนี้เมื่อพวกมุชริกีนได้มาถึง จึงเกิดความฉงนแล้วยืนอยู่หน้าสนามเพลาะนั้น พวกเขาไม่สามารถเดินผ่านได้ จึงตั้งทัพอยู่ตรงนั้น ท่านเราะซูลได้จัดวางกำลังมุสลิมจำนวน 3,000 คน ทำหน้าที่เวรยามเฝ้าดูแลในเมืองมะดีนะฮ์ เพราะเกรงว่าพวกยิวและพวกมุนาฟิกีนที่อยู่ในมะดีนะฮ์จะหักหลัง ส่วนกองกำลังที่เหลือได้เฝ้าดูสนามเพลาะ และคอยสกัดกั้นศัตรูที่จะบุกข้ามสนามมา

บรรดามุชริกได้พยายามหลายครั้งที่จะข้ามสนามเพลาะให้ได้ แต่กองกำลังของมุสลิมได้สกัดกั้นเอาไว้ และเกิดการต่อสู้ด้วยการยิงธนูกัน และมุสลิมยังคงควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้จนกระทั่งได้เกิดวิกฤตขึ้นแก่มุสลิม เมื่อมุชริก ทำการเกลี้ยกล่อมยิวเผ่ากุรอยเซาะฮ์ ที่อยู่ภายในมะดีนะฮ์ให้พวกเขาละเมิดสัญญาและประกาศทำสงครามกับมุสลิม มุสลิมจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ท่านเราะซูล ได้โน้มน้าวจิตใจของบางเผ่าให้ถอนตัวออกจากการสู้รบ โดยยอมจ่ายผลผลิตจำนวนหนึ่งให้แก่พวกเขา แต่ชาวอันศ็อรไม่เห็นด้วย จึงพูดขึ้นว่า :

“ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ว่า ในสมัยญาฮิลียะฮ์พวกเรายังไม่เคยยอมอ่อนข้อให้พวกเขาเลย เมื่อความจริงได้มาแล้ว ทำไมเราถึงจะต้องยอมเขาด้วย”

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเมื่อพวกมุนาฟิกีน ได้ปล่อยข่าวว่ามุสลิมเกิดความหวาดกลัวไปทั่ว พร้อมทั้งเย้ยหยันพวกเขา

บรรดามุสลิมได้ทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งหาต้นเหตุต่างๆ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นได้เกินกำลังความสามารถของพวกเขา และแล้วการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้มาถึง ทั้งๆที่มุสลิมไม่เคยเผชิญกับกองกำลังที่เข้มแข็งอย่างนี้มาก่อน แต่ความเสียหายกลับมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมุชริก กับพวกยิว โดยที่นะอีม บิน มัสอู๊ด ได้เข้ารับอิสลาม แต่พวกมุชริกและยิว นั้นไม่รู้เรื่อง นะอีม ซึ่งมีความสนิทสนมกับทั้งสองฝ่าย เขาจึงทำการยุแหย่ให้เกิดความเคลือบแคลงทั้งสองฝ่ายจนเกิดความแตกแยก ต่างฝ่ายไม่เชื่อใจซึ่งกันและกันและอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงส่งได้ส่งลมพายุพัดมายังเผ่าต่าง ๆ เผ่าต่าง ๆ จึงรีบเคลื่อนย้ายออกจากมะดีนะฮ์อย่างเสียขวัญ

เมื่อสงครามสิ้นสุดลง บรรดามุสลิมจึงเปลี่ยนจากการที่ต้องปกป้องเมืองมะดีนะฮ์ เป็นการออกไปสู้รบกับบรรดามุชริกีนและเข้าโจมตีพวกเขาถึงถิ่นของพวกเขา ท่านเราะซูล ได้พูดถึงผลลัพธ์นี้ว่า ทันใดที่เผ่าต่าง ๆ ถอยร่นกลับไปโดยที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า :

(( الآن نَغْزُوْهُمْ وَلاَ يَغْزُوْنَنَا ، نَحْنُ نَسِيْرُ إِلَيْهِمْ ))

“ต่อไปนี้เราจะออกไปรบพวกเขา พวกเขาไม่ต้องมารบพวกเรา พวกเราจะเดินไปหาพวกเขาเอง”

Leave a Reply