สงครามคอนดัก
หลังจากสงครามอุฮุด มุสลิมและพวกกุเรชยังคงปะทะกันประปราย อีกทั้งมุสลิมยังได้เกิดพิพาทกับชาวยิวเผ่านะฎีร พวกเขาต้องการลอบสังหารท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ เมื่อท่านนบีทราบถึงแผนการลอบสังหารของพวกเขา ท่านได้ส่งมุฮัมมัด บิน มัสละมะฮ์ ไปแจ้งข่าวแก่พวกเขาให้อพยพออกจากเมืองมะดีนะฮ์ภายใน 10 วัน เนื่องจากพวกเขาละเมิดสัญญาจากการลอบสังหารท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ แต่พวกเขาไม่ยอมอพยพ ท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ จึงนำกองกำลังทหารมุสลิมไปปิดล้อมเผ่านะฎีร การปิดล้อมดำเนินไปเป็นเวลาถึง 6 วัน ในที่สุดยิวก็ขอยอมจำนนและถอนตัวออกไปจากมะดีนะฮ์ ด้วยเหตุนี้ทำให้หัวหน้าเผ่านะฎีรได้ติดต่อกับชาวกุเรชและเผ่าต่าง ๆ ที่เป็นมุชริก และพยายามยุยงให้เผ่าต่าง ๆ ทำการสู้รบกับมุสลิม อีกทั้งชาวกุเรชต้องการที่จะจัดการกับมุสลิมอยู่แล้ว และต้องการเส้นทางการค้าขาย พวกเขาจึงตกลงที่จะร่วมมือ พร้อมทั้งทำการเชิญชวนเผ่าต่าง ๆ ทางเมืองนัจด์ และติฮามะฮ์ทางตอนใต้ ในขณะเดียวกันพวกยิว ได้สร้างความจูงใจให้ เผ่าฆ็อตฟาน ซึ่งเป็นเผ่าใหญ่ของเมืองนัจด์ ด้วยการแบ่งปันผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งที่จะได้รับจากเมือง คอยบัร จึงทำพวกเขารวบรวมกำลังพลได้ถึง 10,000 คน
เมื่อท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ ทราบข่าวการยกทัพมาของเผ่าต่าง ๆ จึงได้ปรึกษากับบรรดาเศาะฮาบะฮ์ ท่านซัลมาน อัลฟาริซี ได้เสนอให้ขุดสนามเพลาะรอบเมืองทางด้านเหนือของเมืองมะดีนะฮ์ระหว่างภูเขาฮัรเราะฮ์อัลวับเราะฮ์และภูเขาฮัรเราะฮ์วากิม เพราะเป็นที่เปิดโล่ง ทุกคนต่างเห็นด้วยกับข้อเสนอของท่านซัลมาน อัลฟาริซีย์
ท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ ได้จัดให้ซอฮาบะฮ์ทำงานเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ10แต่ละกลุ่ม ให้ขุดคูโดยมีความกว้าง 6.7 เมตร ลึก 3 เมตร บรรดามุสลิมได้ร่วมกันขุดคูรอบเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเด็กหรือผู้ใหญ่ แม้กระทั่งท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ ท่านเดินแบกดินไปทิ้งด้วยตัวเอง ในการขุดคูมุสลิมก็เผชิญกับอุปสรรคมากมายในการขุดสนามเพลาะ ทั้งระยะเวลาที่สั้น อากาศที่หนาวเหน็บ เสบียงที่น้อยนิด พื้นดินที่แข็ง และเครื่องมือที่ใช้ไม่แข็งแรงพอ
ภาพจากหนังสือศาสดาเดินดิน สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://s.shopee.co.th/AUj6oocGKv
ครั้งหนึ่งในขณะขุดคู มีก้อนหินก้อนหนึ่งที่ไม่สามารถขุดได้ ท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ จึงไปขุดกัอนหินนั้นด้วยตัวของท่านเอง เมื่อจอบกระทบก้อนหิน (พร้อมกับกล่าวบิสมิลลาฮ์)ครั้งที่ 1 มีแสงสว่างพุ่งออกมา ท่านได้กล่าวว่า : ฉันได้รับมอบกุญแจเมืองชามแล้ว ครั้งที่ 2 ท่านกล่าวว่า : (อัลลอฮุอักบัร) ฉันได้รับมอบกุญแจเมืองเปอร์เซีย ครั้งที่ 3 ท่านกล่าวว่า : (อัลลอฮุอักบัร) ฉันท่านได้รับมอบกุญแจเมืองเยเมน ซึ่งในสมัยนั้นทั้งสามเมืองล้วนเป็นเมืองที่ยังใหญ่เกินกว่าที่มุสลิมจะพิชิตได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมุสลิมก็สามารถพิชิตเมืองต่าง ๆ ได้ตามที่ท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ ได้บอกไว้ เพราะเป็นสิ่งที่ อัลเลาะฮ์ ได้กำหนดไว้แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เกินจินตนาการมากแค่ไหนก็ตาม สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นด้วยพระประสงค์ของอัลเลาะฮ์
การขุดดำเนินไปเป็นเวลา 20 วัน จึงเสร็จเรียบร้อย ท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ ได้จัดวางกำลังมุสลิมจำนวน 3,000 คน ทำหน้าที่เวรยามเฝ้าดูแลในเมืองมะดีนะฮ์
เมื่อพวกมุชริกีนเดินทางมาถึงสนามเพลาะก็ตกใจ พวกเขาไม่สามารถข้ามผ่านสนามเพลาะไปได้ จึงตั้งทัพกันอยู่ตรงนั้น พวก กุเรชและชาวยิวเผ่าต่าง ๆ ได้ล้อมนครมะดีนะฮ์เป็นเวลา 1 เดือนแต่ไม่มีโอกาสที่จะเข้าตี แม้จะมีคนพยายามข้ามแล้วก็ตามแต่ก็ไม่สำเร็จ เพียงแต่มีการยิงธนูตอบโต้กัน ในขณะเดียวกัน ชาวยิวเผ่ากุรอยเซาะฮ์ซึ่งได้รับหน้าที่ป้องกันนครมะดีนะฮ์อีกด้านหนึ่งได้ละเมิดสัญญาโดยไปเข้ากับฝ่ายมุชริก จึงทำให้มุสลิมตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เกิดความระส่ำระส่าย แต่ในขณะเดียวกัน อัลเลาะฮ์ ก็ทรงช่วยเหลือมุสสลิม โดยการให้ท่านนะอีม บิน มัสอู๊ด
ได้เข้ารับอิสลาม แต่พวกมุชริกและยิวไม่รู้เรื่องที่ท่านเข้ารับอิสลาม ท่านนะอีมบิน มัสอู๊ด
มีความสนิทสนมกับทั้งสองฝ่าย (พวกกุเรชและพวกยิว) เขาจึงทำการยุแหย่ให้เกิดความเคลือบแคลงทั้งสองฝ่ายจนเกิดความแตกแยก ต่างฝ่ายไม่เชื่อใจกัน จนทำให้มุชริกกลุ่มหนึ่งถอยทัพกลับไป พร้อมกันนี้อัลเลาะฮ์
ทรงได้ส่งลมพายุอย่างแรงมาทำลายค่ายพัก หม้อ จาน อาหาร และของใช้พังเสียหาย จนทำให้พวกมุชริกต้องรีบเคลื่อนย้ายออกจากมะดีนะฮ์อย่างเสียขวัญ
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ ได้กล่าวกับบรรดาเศาะฮาบะฮ์ว่า : “ต่อไปนี้เราจะออกไปรบพวกเขา พวกเขาไม่ต้องมารบพวกเรา พวกเราจะเดินไปหาพวกเขาเอง” หลังจากนั้น ท่านนะบีมุฮัมมัด ﷺ ได้เดินทางไปปราบปรามชาวยิวเผ่ากุรอยเซาะฮ์ที่ก่อกบฏกับบรรดามุสลิมอย่างเด็ดขาด